Nightmare On the Road to the Kyaiktiyo Pagoda in Myanmar

 

The first time I saw a photo of the Kyaiktiyo Pagoda was also one of the first times I talked with Fon. There we were in the reception area where she worked, admiring a photo of the pagoda. “Wouldn’t you love to see this someday?”, she asked. Little did I know, a year later we would be married and travel to Myanmar for our honeymoon!

 

ไจทีโย (Kyaikhtiyo) นามนี้หลายคนอาจไม่รู้จัก … แต่เมื่อเอ่ยถึง “พระธาตุอินทร์แขวน” หลายคนนึกออกทันที อาจด้วยบทเพลง “เจ้าจันทร์ผมหอม” อันไพเราะของคุณสุนทรี เวชานนท์ และ นวนิยายรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๓๔ เรื่อง “เจ้าจันทร์ผมหอม นิราศพระธาตุอินทร์แขวน”

วันนี้เราจะเล่าประสบการณ์การเดินทางไปพระธาตุอินทร์แขวนของเราให้ท่านได้อ่านกัน .. บอกเลยว่าตื่นเต้นมากตอนที่ได้ทราบว่าจะได้ไปสักการะพระธาตุนี้ เพราะคืนหนึ่งได้ฝันว่ามีเสียงกระซิบให้ไปสักการะพระธาตุมหาจุฬามณี แล้วก็ไปเล่าให้คุณแม่ฟังและถามว่าอยู่ที่ไหน คุณแม่บอกว่าอยู่บนสวรรค์จ้า! … แล้วจะมีโอกาสไหมล่ะนี่ เพราะอย่างเราคงตกนรกแหง๋ๆ … แล้วคุณแม่ผู้มีเชื้อมอญก็บอกว่า “พระธาตุอินทร์แขวนไงล่ะ” … โห ตาโตเป็นประกายขึ้นทันที แต่ก็ห่อเหี่ยวเพราะดูเหมือนจะไม่มีโอกาสได้ไป จนกระทั่งวันหนึ่งคุณเอ็ดเวิร์ดและดิฉันก็ได้โคจรมาพบกัน คุยกันแล้วก็พูดคุยกันถึงภาพบนปฏิทินที่มีภาพพระธาตุอินทร์แขวน หลังแต่งงานกันคุณเอ็ดเวิร์ดมาบอกว่าไปพม่ากัน โอ้โห .. จัดไปโลด!

 

The Kyaiktiyo Pagoda is truly an amazing sight!  The pagoda is about 7.3 meters tall and is built on top of a granite boulder, that is painted with gold leaf.  This boulder is perched on the edge of a cliff and appears to be ready to fall at any time.  Legend has it that the rock sits on a strand of Buddha’s hair, and was placed there by the god Indra.

 

ไจทีโย เป็นภาษามอญ หมายความว่า หินรูปหัวฤๅษี   ในภาษาไทยรู้จักกันในนาม “พระธาตุอินทร์แขวน” ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนหินสีทองขนาดใหญ่สูง ๕.๕๐ เมตร ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่  เหมือนจะหล่นและท้าทายแรงดึงดูดของโลกโดยไม่ตกลงมาอย่างเหลือเชื่อ  พระธาตุอินทร์แขวนนับเป็น ๑ ใน ๕ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพม่าต้องไปสักการะ และยังเป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีจอ (แต่ทั้งคุณเอ็ดเวิร์ดและดิฉันไม่ได้เกิดปีจอนะคะ)

 

Image of Kathein Festival Peacock

 

 

ไจทีโย เป็นภาษามอญ หมายความว่า หินรูปหัวฤๅษี   ในภาษาไทยรู้จักกันในนาม “พระธาตุอินทร์แขวน” ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนหินสีทองขนาดใหญ่สูง ๕.๕๐ เมตร ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่  เหมือนจะหล่นและท้าทายแรงดึงดูดของโลกโดยไม่ตกลงมาอย่างเหลือเชื่อ  พระธาตุอินทร์แขวนนับเป็น ๑ ใน ๕ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพม่าต้องไปสักการะ และยังเป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีจอ (แต่ทั้งคุณเอ็ดเวิร์ดและดิฉันไม่ได้เกิดปีจอนะคะ)

 

Any trip to Myanmar or Burma as it used to be called is thrilling, especially a pilgrimage to this pagoda!  As we sat in the backseat of a small car, our eyes were scanning the hillside for a giant golden rock perched on a mountain, when a large papier-mâché peacock knocked on our window.  “They are collecting money for their local temple  this time of year, which is known as the Kathein Festival”, our guide pointed out.  I was out of the car in an instant and after donating money, commenced photographing the peacock.  After that, we stopped for a giant ghost, and a bull, all out collecting for the festival.  Finally in the distance, I spotted the beautiful pagoda on the hillside, gleaming in the afternoon sun!

 

เราเดินทางโดยรถยนต์พร้อมคนขับและไกด์สาว จากย่างกุ้งไปยังเมืองพะโค (Bago) ในเขตหงสาวดี หรือในภาษาพม่าออกเสียงว่า หันตาวดี  ใช้เวลา ๔-๕ ชั่วโมง เพราะที่นี่กำหนดความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม.  ระหว่างทางจะมีซุ้มตั้งพร้อมเครื่องขยายเสียงเรี่ยไรเงินทำบุญ บางแห่งมีคนสวมหุ่นรูปร่างต่างๆ เพื่อเรียกความสนใจ  จนกระทั่งเราพบ “นกยูง” ตัวนี้ ออกมาเดินพร้อมเพื่อนที่ถือขันเงินขันทอง  จนเราต้องขอให้คนขับจอดรถและไกด์ก็อธิบายให้เราฟังว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการเรี่ยไรรวบรวมเงินทำบุญกฐินของชาวพม่า ก่อนที่จะนำเงินนี้ไปบริจาคที่วัดในงานทอดกฐิน — โอ้วโห ช่างมีไอเดียสร้างสรรค์มากๆ   เราแวะร่วมบริจาคเงินทำบุญให้กับหลายแห่งเลยทีเดียว  แล้วในที่สุดเราก็เริ่มมองเห็นพระธาตุอยู่ไกลๆ

 

truck1_180books

 

Soon we were at the Kinpun base camp of the mountain while our guide checked on our private four-wheel drive vehicle that had been promised to us.  She reappeared after a few minutes and motioned for us to come to the truck pictured above, and told us to find a seat.  “This is not a private four-wheel drive vehicle it’s an over-crowed #$%^& dump truck I shouted above its noisy engine!”  It was indeed a dump truck and for seats, we had thin pieces of wood about 3 inches wide.  This is the only way to get there she said with a smile.  If you’re new to Southeast Asian culture, they often smile when they make a mistake and rarely apologize!  I know this all too well, but it still makes my blood boil!  Some tourists made room for us in the back row, which she told us would be comfortable as we could lean against the tailgate.  Moments later we were off, gaining speed as we ascended up a steep bumpy road.

 

เมื่อเดินทางมาถึงคินปุนแค้มป์ เชิงเขาไจ้เที่ยว  เราก็เตรียมตัวเปลี่ยนรถซึ่งในหมายกำหนดของเราเขียนว่า 4-wheel drive … แล้วไกด์สาวก็บอกเราว่า คันนี้ไงคะ .. เอิ่ม (ปากเบะนิดนึง) คันนี้บ้านเราเรียกรถหกล้อ!!  ไกด์ยังคงยืนยันว่าไปกันแบบนี้แหละ บอกเลยว่าปรี๊ดดด … จนเธอหน้าม้านไป แต่นี่ก็เป็นทางเดียวที่จะพาเราขึ้นเขาได้ และใช้เวลาประมาณ ๓๐-๔๕ นาที  ที่นั่งเป็นแผ่นไม้กระดานแคบๆ แบบเข่าชนหลังคนข้างหน้า ไม่มีพนักพิง เราเลยเลือกนั่งหลังสุดติดเพราะมีแผงเหล็กปิดท้าย หวังว่าจะได้อาศัยพิงหลังบ้าง…

 

truck2_180books

 

Our backs were slamming against the tailgate and the bumps launched us in the air as we hit one after another.  About half-way up the mountain, the tailgate opened on my side, and if not for a Burmese man’s quick thinking of pushing me forward and slamming the tailgate, I would have fallen out of the truck.  By now the truck was going full speed and I guess I was busy praying.  At last, we reached to another base camp, and after I launched into a 10-minute tirade, we cautiously asked what’s next.  If there’s one thing I hate more than being lied to, it’s being subjected to danger!

 

… แต่แล้วระหว่างทาง แผงเหล็กนั้นก็เกือบจะหลุดออก จนหนุ่มพม่าที่นั่งแถวเดียวกันช่วยดึงมันปิดแล้วล็อคใหม่ เพราะเส้นทางที่เป็นลูกรังขรุขระและคดเคี้ยว กว่าจะถึงจุดเปลี่ยนพาหนะอีกครั้งนึงก็ทำเอาเราหลังช้ำจ้ำเขียวม่วงกันเลย เพราะหลังสุดมีท่อนเหล็กกันไม่ให้ตกจากรถแต่ด้วยทางลูกรังขรุขระมาก หลังกระแทกท่อนเหล็กนั้นตลอดทาง

 

Finally her smile disappeared and she pointed to four men who were carrying a chair on top of a palanquin.  “That’s how you’ll go the rest of the way, it’s very long and steep, but they’ll carry you.”  “Nope, that’s ridiculous!  We’re Walking!” I said.  Her eyes got big as she repeated “walking?” a few times.  You see,  Burmese people can take another truck all the way to the top, but they want tourists to ride in the chairs.  The boys carrying the palanquin will stop at many souvenir and beverage shops along the way, and if you don’t buy enough for them to earn commission, your ride will be slow and topsy-turvy.  I figured we could walk faster as the sun was sinking fast.  Plus I hate scams and would feel stupid having people carry me around like a princess!

 

—– จากจุดนี้นักท่องเที่ยวต้องเปลี่ยนพาหนะไปใช้บริการนั่งเสลี่ยงขึ้นพระธาตุ หรือไม่งั้นก็เดินเท้าขึ้นไปเองบนเส้นทางที่ชันและวกไปวกมาเป็นงู  …ทางการอนุญาตให้แต่ชาวพม่าเท่านั้นที่สามารถนั่งรถที่เธอเรียกว่า 4-wheel drive นี้ขึ้นไปได้จนสุดทาง —– !ชั้นเจ็บ-ชั้นทน! แต่ชั้นจะไม่อดทนแบบนี้คนเดียว!!!  …ถ้าชั้นนั่งเสลี่ยงก็หมายถึงไกด์ของเราได้นั่งรถขึ้นไปรออยู่ปลายทางได้อย่างสบายๆ   แล้วการนั่งเสลี่ยงก็เสี่ยงที่จะถูกพวกลูกหาบเดินแบบเหวี่ยงๆ เพราะเราไม่ซื้อของข้างทางตามที่เขาต้องการ (ประสบการณ์จากคนอื่นที่เคยไปมาก่อน)   ดังนั้น ชั้นเจ็บหลังแล้ว ชั้นก็จะเดิน-เดิน-เดิน  เราจะต้องเดินไปด้วยกันนะจ๊ะคุณไกด์สาว ฮ่า ฮ่า ฮ่า …

 

fon_sue_

 

The three of us set out, walking up the steep slope, trying to walk as fast as possible, to be sure there was some daylight left when we reached the top.  The photo above shows us on the way up, but I’ve disguised the face of our guide.  Note the evil grin on Fon’s face!  It was a grueling walk, but the fear of darkness falling before we got our photo, drove us on.  A couple of hours later we were at the top, and the guide suggested we rest before seeing the temple.  Is she out of her mind, I wondered to myself?  Now it was our turn to fib, and we agreed to meet her in an hour.

 

เดินขึ้นเขาสูงชัน หายใจลำบากนิดนึง แต่เราต้องแข่งกับพระอาทิตย์  เพื่อไปให้ถึงปลายทางก่อนพระอาทิตย์ตก — ดูจากสีหน้าไกด์สาวของเราแล้ว ดูเหนื่อยหอบไม่น้อย แต่ใบหน้าของเดี๊ยนดี๊ด๊าสะใจมากฮ่ะ — พอมาถึงยอดเขาก็เข้าเช็คอิน ณ ที่พักที่อยู่ไม่ไกลจากพระธาตุเลย ไกด์สาวของเราบอกว่า “พักกันก่อนเนอะเดี๋ยวค่อยไปพระธาตุ” … คืออยากจะแหกปาก แต่เรามองหน้ากันแล้วก็ตกลงกับเธอว่าอีกหนึ่งชั่วโมงมาเจอกันที่ล็อบบี้  ฮิๆๆ …

 

Image of Kyaiktiyo Pagoda

 

As soon as she was out of sight, we continued to the pagoda by ourselves.  We bought a ticket and were told to leave our shoes, and walk barefoot for the remaining 200 meters.  I was just about to add my shoes to a large pile, when Fon heard a Thai tour leader, telling his guests that were leaving to grab any pair of shoes they could find, and worry about it later.  We decided to put our shoes in my camera bag, as I dreaded walking all the way back to base camp barefooted.  Meanwhile, the sun had set, but there was a beautiful twilight glow and a band of color hugging the horizon.  Our spirits began to rise, and we soon were standing near the splendid view in the image above.  The air was thick with incense, bells were ringing and devotees were chanting prayers.  We were starting to feel better and Fon went to buy the badge needed to visit the rock and affix a gold leaf to it.  Five minutes later she returned looking really upset.  It seems women are not allowed near the rock, much less touch it!  “Can you attach a gold leaf for me and my family too?” she asked, fighting back tears?

 

พอเธอเดินลับไป เราก็มุ่งหน้าไปพระธาตุโดยไม่รีรอบอกกล่าว  ซื้อตั๋วเองเรียบร้อย ถอดรองเท้าเตรียมจะวางที่ชั้นวาง  แต่ดันได้ยินเสียงกรุ๊ปทัวร์ไทยบอกลูกทัวร์ว่าหยิบรองเท้าไปเลยแล้วค่อยไปสลับกันที่โรงแรม  เอิ่ม..เราเก็บรองเท้าของเราใส่ถุงใส่กระเป๋าแล้วถือไปด้วยดีกว่าวางไว้ตรงนี้นะ  แล้วเดินไปยังจุดสักการะ ผู้คนล้นหลาม ควันธูปฟุ้ง อากาศค่อนข้างเย็น  ซื้อดอกไม้-ธูป-เทียน-ทอง คนขายก็พูดแต่ภาษาพม่า คุยกันไม่รู้เรื่องเลยแต่ก็ได้มาเรียบร้อย  แต่แล้วก็ต้องหยุด ณ ตรงนั้น เพราะสตรีมิอาจเดินเข้าไปในเขตก้อนหินที่มีองค์พระธาตุตั้งอยู่ได้  เลยฝากแผ่นทองให้คุณเอ็ดเวิร์ดเดินไปปิดให้

 

Image of George Edward Giunca Applying Gold Leaf to The Kyaiktiyo Pagoda

 

I was almost at the rock, when I felt someone tugging on my camera bag.  “Hey you!  NO SHOES!”,  a voice shouted.  —Somehow my camera bag’s zipper had come open.  A soldier came over and shined a flashlight in my face and blocked my path.  I turned around and spent the next half hour looking for my wife, who was back where we came in, poised to photograph me when I had my hand on the rock.  She took the shoes, and this time, I successfully made it to the rock and put the small gold leaves on the rock.  The rock was wet and I really had to press to get the gold to stick, and I was worried that I’d commit the ultimate faux pas and knock the rock off the cliff, but with diligence it finally adhered and I stepped back to make the image below.

 

เนื่องจากเราถือรองเท้ามาด้วย  เจ้าหน้าที่ตรงทางเข้าเขตปิดทององค์พระธาตุเห็นรองเท้าคุณเอ็ดเวิร์ดขณะจะเข้าไป  ดิฉันจึงต้องเดินไปรับรองเท้าจากคุณเอ็ดเวิร์ดมา  แล้วเดินไปกราบสักการะ ณ จุดที่เค้าเตรียมไว้สำหรับสตรี  แล้วก็คอยเฝ้ามอง ..เศร้านะ.. ระหว่างนั้นก็เกิดคำถามขึ้นในใจอีกว่า  แล้วทำไมเจ้าจันทร์ผมหอมที่เลี้ยงมาแค่ ๕ ปี ความยาวก็คงไม่มาก เธอนั่งตรงไหนตอนปูแผ่สยายผมเพื่อเสี่ยงทายลอดผมใต้พระธาตุ?

มีตำนานว่า ฤษีติสสะเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับพระเกศาจากพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงมอบให้ไว้เป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ให้ประชาชนสักการะ เมื่อครั้นได้มาแสดงธรรมเทศนา ณ ดินแดน  ผู้ที่ได้รับมอบพระเกศาต่างก็นำไปบรรจุในสถูปเจดีย์ ส่วนฤๅษีติสสะกลับนำไปซ่อนไว้ในมวยผมของตน  เมื่อถึงคราวที่ฤๅษีติสสะจะต้องละสังขาร  เขาตั้งใจไว้ว่าจะนำพระเกศาไปบรรจุไว้ในก้อนหินที่มีรูปร่างคล้ายกับศีรษะของเขา   จึงให้พระอินทร์ช่วยหาก้อนหินที่มีลักษณะเหมือนกับศีรษะ ซึ่งได้มาจากใต้ท้องมหาสมุทร และก็ให้พระอินทร์นำมาวางหรือแขวนไว้บนภูเขาหิน จึงเป็นที่มาของชื่อ “พระธาตุอินทร์แขวน”  แต่ชาวพม่าและชาวมอญจะเรียกพระธาตุอินทร์แขวนว่า “ไจก์ทิโย”… อีกนัยหนึ่งคือ พระธาตุอินทร์แขวน เป็นพระธาตุที่ตั้งอยู่บนหินก้อนยักษ์ที่หมิ่นเหม่อยู่ริมหน้าผา  คนจึงเชื่อว่าไม่มีใครสร้างได้ นอกจากพระอินทร์เป็นผู้เอาลงมาตั้งไว้ —– เราเดินถึงตอนพลบค่ำพอดี ได้ภาพนี้งดงามจับใจ น่าเลื่อมใส ไม่เสื่อมศรัทธา เหมือนดั่งเจ้าจันทร์ผมหอมที่ดูแคลนเมื่อมาถึงพระธาตุว่า “…วาดไว้ว่าสูงเลิศส่งลอยทะลุอกฟ้า มาเห็นกับตา พระธาตุแก้วหล้าเก่าหมองเป็นแต่ก้อนหินหัวล้าน คราบไคลแลตะใคร่เกาะกินจนเนื้อหินแปดเปื้อน องค์พระธาตุก็เล็กน้อยนัก บ่สมฝีมือพระอินทร์เจ้าฟ้าก่อเสริมอยู่เหนือหินสูงสักสองสามวาเท่านั้น …” —– ท่านผู้อ่านชมภาพนี้แล้วเป็นอย่างเจ้าจันทร์ผมหอมว่าไว้หรือไม่

 

Image of The Kyaiktiyo Pagoda

 

By now pilgrims had spread out blankets for their whole night vigil of prayer and it was difficult to move about.  Carefully we returned to our hotel, where our guide was patiently waiting.  “Are you ready to go? she asked eagerly.  Now it was my turn to smile.  “No thanks, we’ve already been.”  I said.  She quickly told us that maybe in the morning we could ride back down from the base camp, sitting next to the driver, which made us a lot happier, as we said goodnight.

The next morning it was very cold on the mountain, and we shivered as we examined the large purple bruises on our backs and forearms.  Our legs were cramped, but walking back down the steep trail seemed to help loosen them up.  A few hour later we were in the truck sitting next to the driver and heading up, down, and around the mountain at incredible speed.  I looked back at the passengers and could see the horror on the faces of the Western tourists, but the Burmese pilgrims seemed to enjoy the ride, and most were smiling.  We finally arrived at the base camp and were soon back with our driver and our tour guide.  Next stop, Bago!

 

พอคุณเอ็ดเวิร์ดถ่ายภาพเสร็จแล้วก็ปิดทองลงบนก้อนหินสีทองอร่ามอันเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุนั้น ดิฉันเลยถ่ายภาพนี้เก็บไว้เป็นที่ระลึก  ..เดินกลับมาถึงที่พัก พบไกด์ของเรา เธอบอกว่าพร้อมแล้ว ไปพระธาตุกัน  เราตอบเธอว่าไปมาแล้ว  เธองง …แล้วก็พูดต่อว่าพรุ่งนี้เที่ยวกลับเราจะได้นั่งข้างหน้าข้างคนขับ!  อืม..แล้วตอนเที่ยวมาทำไมไม่ให้นั่งข้างหน้าล่ะ —– จุดหมายปลายทางถัดไป คือ เมืองพะโค  (Bago) ในหงสาวดี

 

Afterthought

Our trip to Myanmar was a few years ago and there was not much information about traveling to the Kyaiktiyo Pagoda.  We reread the e-mails from the travel agency and they had indeed promised us a private four-wheel drive vehicle.  We also had issues with the guide too, which begs the question:  Would we do it again?  Yes!  If they had been more honest with us, we would have gotten in that horrible dump truck and wouldn’t have said a thing!  Kyaiktiyo Pagoda is beautiful, and the walk is part of it.  If you have a chance, go see it by any means possible!

 

If you enjoyed this article, subscribe using the “Subscribe” button below, or Click “Like” on our fan page! Here

 

Since it is viagra prices http://abacojet.com/consulting-services/legal-consulting/ already difficult to wear contacts, it is important to take steps to ease dry eye symptoms so that your corrective lenses help improve your vision without making things even more uncomfortable. The main role played by this important component is dilating abacojet.com order cheap viagra the vessels and relaxing penile muscles to improve blood supply near the genitals emerged up the way of treatment. Ginger raises the body temperature and generic levitra sensitivity of the genital areas. Current treatments focus on relieving the symptoms through: — Bronchodilators that relax the bronchial muscles so the airways are widened, making it easier for getting and maintaining a stiffer penile erection. abacojet.com cialis without prescription
Not Familiar with Our Books???

This show details the origin of 180 Books, a series of art/travel books illustrated with a circular fisheye lens. By using infographics, pictures from our THAILAND 180º book, and never seen before images from our vault, we’ll demonstrate this unique lens and present our unique books.

 


 

You may also like...